{وَأَحْسِنُوَاْ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ الْمُحْسِنِينَ }

ความว่า และจงทำดีเถิด แท้จริงอัลลอฮฺ นั้นทรงชอบผู้กระทำดีทั้งหลาย (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 195)




3/27/2555

เรื่องเล่าจากแดนไกล (ซูดาน) ตอนที่ 4...คำสองคำ “อัซซุรูฟ วัล มุญามะละฮฺ”

อัลหัมดุลลิลล่าฮฺ ขอชุโกรต่ออัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ที่ทรงประทานสุขภาพที่ดี เวลา และโอกาสให้ผมได้นำเรื่องราวดีๆจากแดนไกลมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง สำหรับช่วงเวลาการใช้ชีวิตศึกษาหาประสบการณ์แปดเดือนเต็ม ผ่านความร้อน ความหนาว และความแห้งแบบทะเลทราย บวกกับความคิดถึงบ้านเกิด พี่น้อง ญาติมิตร และเพื่อนฝูง เพื่อทำสิ่งที่ผมเรียกมันว่า “เป้าหมาย” ให้สำเร็จดังที่ตั้งใจ

ขณะที่ความหวัง ดุอา และกำลังใจจากไทยส่งมากันเป็นระยะๆ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาสอบอีกครั้ง (มะอฺฮัด คุรฎูม อัด เดาลี) ในอีกไม่เกินสามอาทิตย์ (กลางเดือนเมษายน 2555) เพื่อชี้ผลว่า จะได้ไปต่อในเส้นทางนี้อีกหนึ่งปีหรือไม่ อินชาอัลลอฮฺ

ขอเศาะละวาตแด่ ท่านเราะสูล (ศ็อลฯ) ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ท่านสุดท้าย ผู้ทรงชี้นำทางและเปิดประตูแสงสว่างด้วยอิสลาม ผู้เป็นเราะหฺมัต (ความโปรดปราน) จากอัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) แก่ประชาชาติทั้งมวล โดยเฉพาะเมื่อท่านถูกส่งมาใน(ตระกลูที่มีเกียรติ) ท่ามกลางการห้อมล้อมของหมู่ชนที่มีจิตใจโหดร้ายป่าเถื่อนและแข็งกระด่างที่สุดในช่วงเวลานั้น (ชาวอาหรับ บัดดะวี) หรืออาหรับเร่ร่อนค้าขายในดินแดนทะเลทราย (ยุคก่อนอิสลาม)

พี่น้องผู้อ่านครับ มาถึงตอนที่สี่แล้ว ถ้าได้ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรก คงน่าจะนึกภาพความเป็นอยู่ในซูดานในทวีปแอฟริกากันได้บ้างแล้วว่า สภาพอากาศแบบทะเลทราย ร้อน และหนาวแบบแห้ง น่าจะเป็นแบบไหน (แต่อย่าคิดว่าการใช้ชีวิตของคนที่นี้จะลำบากนะครับ เพราะเขาอยู่กันได้และมีความสุขกับประเทศของเขาครับ)... เพราะนั่นคือ “เราะฮฺมัตและเนี๊ยะมัต” ที่พวกเขาไม่ต้องพบกับสิ่ง “มะอฺศิยัต” มากมายเหมือนบ้านเรา และนี่เองคือเรื่องน่าประทับใจไม่รู้ลืมในดินแดนแห่งนี้

สำหรับตอนที่สี่นี้เป็นเชิงวิชาการนิดนึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน (ผู้เขียนจะพยายามระวังภาษาหน่อยครับ เดี๋ยวผู้อ่านจะคิดว่าเป็นอย่างอื่น เพียงแต่เจตนาให้เห็นภาพบางอย่าง ด้วยความบริสุทธ์ใจนำเสนอ คาดหวังว่าจะเป็นพื้นฐานความเข้าใจและประโยชน์กับผู้สนใจมาเยือนซูดานเท่านั้นครับ) โดยจะหยิบเอามุมหนึ่งจากภาพที่พบซึ่งอาจไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มีอยู่จริง (นักศึกษาที่นี้หลายคนก็พบเช่นเดียวกัน) อินชาอัลลอฮฺ

ผมขอนำเสนอ “คำสองคำ... สองความหมาย...แต่ลงตัว”

คำแรก คือ คำว่า “อัซซุรูฟุ” หมายถึง สภาพ สถานการณ์ หรือปัจจัยบางอย่าง (รอบตัว) คำๆนี้ ถ้าเรามองกันผิวเผินในสายตาคนไทยและวัฒนธรรมของเรา จะพบว่าไม่ค่อยได้ใช้ หรือเกิดขึ้นบ่อยกับคนที่เราร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันของรัฐ แต่ในซูดานแล้ว ถือเป็นเรื่องธรรมดานะครับ (และต้องอดทนยอมรับให้ได้ด้วย) เพราะเราจะพบบ่อย ณ ดินแดนแห่งนี้

ยกตัวอย่าง เช่น หากคุณนัดใครซักคน เขาอาจจะมาไม่ได้ หรือทำตามที่พูดไปไม่ได้ เขาก็จะกล่าวว่า (ฟีฮฺ ซุรูฟ) หมายถึง มีปัจจัยบางอย่างมาหักห้ามเขา หรือมีปัญหานิดหน่อย (ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องประจำ... ไม่ได้ว่าคนที่นี้นะครับ คนไทยเองก็มี แต่ผมรู้สึกว่าคนที่นี้จะมากกว่าหน่อย) ผมจึงตั้งข้อสันนิฐานว่า ต้นตอของสาเหตุ น่าจะมาจากวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ที่ยังจัดระบบและระเบียบยังไม่ดีพอ (ซูดานเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนามากครับ บางเรื่องที่คุณคิดว่าง่าย...แต่ก็เรื่องยากได้ในซูดาน) การทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมงและอากาศที่เป็นปัจจัยให้ต้องชาร์ตพลังอยู่บ่อยครั้ง

( เราจะพบว่าเริ่มต่อต่องานได้ก็ 9 โมงเช้า... 10 โมงเช้าพัก “ฟุฎูร” อาหารเช้าครับ... 11 โมงครึ่ง เริ่มกันใหม่ ...ใครรอได้ก็รอไป แต่บ่ายโมง พักเที่ยง... ซึ่งช่วงนี้เขาอาจจะหลบไปหลับกลางวันกันเล็กน้อย...บ่ายสองโมงเริ่มอีกครั้ง...สองครึ่ง ปิดสำนักงาน และบอกว่า “บุกเราะฮ” หมายถึง พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่)

เหตุนี้คำว่า “อินชาอัลลอฮฺ” ในซูดานจึงเป็นคำที่ถูกใช้เสมอหลังการตกลง และหากดูจากความหมายแล้ว คือ “หากอัลลอฮฺทรงมีพระประสงค์” คำๆนี้ในซูดานอยู่ในข่ายจะเป็นไปได้ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น เช่น เรื่องการนัดพบ หรือเข้าติดต่อหน่วยงาน (เด็กที่นี้จะรู้ดีว่าถ้าเขาบอกว่า “ดะกีเกาะ” แปลว่า แปบนึง แต่ที่นี้หมายถึง สามชั่วโมง แต่ถ้าบอกว่า “บะอฺ ดะ ซุฮฺรฺ” แปลว่า บ่าย หมายถึง ค่อยมา พรุ่งนี้ แต่ถ้าบอกว่า “บุกเราะฮฺ” แปลว่า พรุ่งนี้ ก็อาจต้องเตรียมใจเลยอีกสามวันค่อยมาใหม่ กรณีที่มารอรับเอกสารครับ) ซึ่งถ้าหากจะติดต่องานอะไร ก็ขอแนะนำให้เผื่อใจไว้ และเช็คเวลาให้ดี ที่สำคัญคือ “อดทน อดกลั้นไว้ครับ” เพราะแค่ถ้าคุณตั้งคำถามให้เขา คุณอาจจะสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ไม่ยิ้มเข้าหาเขาละก็ (คุณจะไม่รู้เลยว่าเขาโกรธคุณทำไม?) สงสัยเขาจะเครียดกับงานมากจริงๆ

และนั่น ถือว่าเป็นบทเรียนและฮิกมะฮ์ในชีวิตที่นี้ โดยเฉพาะผู้ศรัทธาต้องยอมรับและมอบหมายงานต่ออัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ซูดานจึงทำให้เราได้หวนคิดถึงข้อแก้ตัว หรือเหตุผลว่ามีปัจจัยบางอย่าง (ซุรูฟ) ว่าย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังที่ตรัสไว้ว่า

{ وَلَا تَقُولَنَّ لِشَيْءٍ إِنِّي فَاعِلٌ ذَلِكَ غَدًا . إِلَّا أَن يَشَاء اللَّهُ وَاذْكُر رَّبَّكَ إِذَا نَسِيتَ وَقُلْ عَسَى أَن يَهْدِيَنِ رَبِّي لِأَقْرَبَ مِنْ هَذَا رَشَدًا } ( الكهف23-24 : )

ความว่า “และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่าแท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้ [1] เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม และจงกล่าวว่าบางทีผู้ทรงอภิบางของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ฉัน [2]

พอเข้าใจคำๆแรกแล้ว เรามาดูคำที่สองกันครับ นั่นคือ คำว่า “อัล มุญามะละฮฺ” หมายถึง การยอมความกัน (ไม่ถือโกรธ) หรือทำให้สิ่งหนึ่งดูดีหรือสวยขึ้น คำที่สองนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีเหตุการณ์ผิดใจกัน หรือบางครั้งจะใช้ในโอกาสชมเชย (พบโดยส่วนใหญ่ กับเพื่อนซูดานโดยมีลักษณะชมเกินจริง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการให้กำลังใจกันอย่างเต็มพลัง กะเอาให้เรายิ้มไม่หุบไปเลย)

คำว่า “มุญามะละฮฺ” ที่เกิดจากการทะเลาะกัน จึงเป็นทางออกเสมอของคนซูดาน ตัวอย่าง เช่น ในความหมายประนีประนอมกัน ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างคู่สนทนาที่คิดต่างกัน หรือคู่กรณี เช่น ขับรถเชี่ยวกัน หรือถึงขั้นชนกันยุบไปเลย ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการยกเสียงดังข่มกันและโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมรับว่าผิด และดูเหมือนว่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะเรื่องนองเลือดกันในซูดาน ถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม กฎหมายที่นี้ตามกฎชะรีอะฮฺอิสลาม ถือว่า หะรอม และสิ่งใด ที่หะรอม โทษจะหนักครับ เราจึงเห็นการถกเถียงกันเสียงดังๆ หน้าแดง หรืออารมณ์ชุนเฉียวอย่างแรงใส่กันสักพัก (เดี๋ยวถ้ามีใครมาห้ามก็เลิกครับ ไม่เก็บแค้นต่อ) และจบลงด้วยกับ คำว่า “มุญามะละฮฺ ” อภัยกันไป (ไม่เหมือนคนไทยเราครับ เงียบก่อน เก็บแค้นเอาไว้ วันหลังชำระแค้น หรือไม่ ถ้าเจอคนใกล้ตัวเขาก็ตีฝากไปด้วย ขยายวงให้ใหญ่โต ถึงขั้นสถาบันไปเลย จากเรื่องของคนสองคน)

แต่เด็กไทยบางคนที่นี้ก็เก่งครับ บางคนเป็นภาษาถิ่น ขึ้นเถียงจนชนะก็มี (ไม่รู้จะชมดีไหม แต่ก็จบลงด้วยการให้อภัย ณ ที่นั้น เวลานั้นครับ)

จากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนซูดานหลายคน ข้อสังเกตและการค้นพบล่าสุด คือ อารมณ์ ความตึงเครียด มีต้นเหตุมาจากสภาพแวดล้อมหรือรากฐานของแต่ละคน (โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับพนักงานในหน่วยงาน แต่...ไม่ใช่ทุกคนครับ...อัลหัมดุลลิล่าฮฺ)

เนื่องจากอากาศร้อนและแห้ง เป็นตัวผลักดันภายในให้ร้อนตาม ที่สำคัญ...อาหารหลักที่ส่วนใหญ่เป็นประเภทแป้ง (คาร์โบไฮเดรต)ได้แก่ ขนมปัง ถั่ว น้ำมัน น้ำตาลทราย ล้วนแล้วแต่มีผลต่อด้านอารมณ์ โดยเฉพาะ “ขนมปัง” คือ อาหารหลักที่กินทุกมื้อ ทุกวัน และมีราคาถูกกว่า “ข้าวสาร” และให้พลังงานสูงมากกว่าข้าว จึงเหมาะต่อสภาพอากาศแบบนี้มากครับ

ขณะที่การกินขนมปังจำนวนมากกลับเป็นปัญหาส่งผลข้างเคียงที่บางคนไม่ต้องการ เช่น อ้วนขึ้น (เมื่อรู้ตัวก็เกือบสายไปกับความอร่อยและความหอม นุ่ม ของมัน) และผลต่ออารมณ์ที่จะหงุดหงิด รวมถึงประสาทการรับรู้รสชาติบางอย่างลดลงครับ (และอีกหลายอย่างลองหาเพิ่มเติมครับ)

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงกลับมาคิดถึงฮิกมะฮฺของคำว่า “มุญามะละฮฺ” การอภัยให้กัน ของประเทศมุสลิมประเทศนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ (ที่บางคนถึงกลับพูดว่า “พวกเขาใจดี ถ้าโกรธ จะหายเร็ว”) โดยเฉพาะ คือ เรื่องที่อัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) สั่งใช้ ดังที่ตรัสว่า

{ إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ إِخْوَةٌ فَأَصْلِحُوا بَيْنَ أَخَوَيْكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ } (الحجرات : 10)

ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน [3]ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า [4] และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”

จากคำสองคำที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกันได้ “คนหนึ่งขออภัย คนหนึ่งให้อภัย” จึงเป็นบทเรียนสอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ทุกคนก็ไม่ละ...ที่จะอยากทำ...ในสิ่งที่ดีงาม”

และนี้คือส่วนหนึ่งจากความประทับใจ

อินชาอัลลอฮฺ... ตราบใดที่อัลลอฮฺ ทรงประทานสุขภาพดี เวลา และโอกาส เราคงได้มีโอกาสนำเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟังต่อไป

9 โมงเช้าวันอังคารที่ 27 มีนาคม 2555

(เขียนที่หอพักดารุสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามแอฟริกานานาชาติ)



[1] อิบนุกะษีรกล่าวว่า สาเหตุของการประทานอายะฮ์นี้คือ เมื่อท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องของชาวถ้ำ ท่านได้กล่าวว่าพรุ่งนี้ฉันจะตอบพวกท่านดังนั้นอัลวะฮ์จึงได้ล่าช้าออกไปจากท่านเป็นเวลาถึง15 วัน

[2] คือหวังว่าอัลลอฮ์จะทรงประทานความสำเร็จให้แก่ฉัน และทรงชี้แนะแก่ฉันในสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่ง ในเรื่องของศาสนาของฉันและดุนยาของฉัน

[3] ความเป็นพี่น้องกันในหมู่มุสลิมมุอฺมินนั้น ผลที่จะติดตามมาก็คือ ความรักใคร่ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การให้ความช่วยเหลือ และความร่วมมือกัน นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของมุอฺมินผู้ศรัทธา ในอายะฮฺเป็นการบ่งชี้ว่าการเป็นพี่น้องกันในอิสลามนั้นเข้มข้นกว่าการเป็นพี่น้องทางสายเลือดหรือวงศ์ตระกูล

[4] คืออย่าให้การแตกแยกเข้ามามีบทบาท และอย่าให้การเกลียดชังระหว่างกันเข้ามาสิงสู่อยู่ในหมู่คณะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น