อัลหัมดุลลิลล่าฮฺ ขอชุโกรต่ออัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ที่ทรงประทานสุขภาพที่ดี เวลา และโอกาสให้ผมได้นำเรื่องราวดีๆจากแดนไกลมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง สำหรับช่วงเวลาการใช้ชีวิตศึกษาหาประสบการณ์แปดเดือนเต็ม ผ่านความร้อน ความหนาว และความแห้งแบบทะเลทราย บวกกับความคิดถึงบ้านเกิด พี่น้อง ญาติมิตร และเพื่อนฝูง เพื่อทำสิ่งที่ผมเรียกมันว่า “เป้าหมาย” ให้สำเร็จดังที่ตั้งใจ
( เราจะพบว่าเริ่มต่อต่องานได้ก็ 9 โมงเช้า... 10 โมงเช้าพัก “ฟุฎูร” อาหารเช้าครับ... 11 โมงครึ่ง เริ่มกันใหม่ ...ใครรอได้ก็รอไป แต่บ่ายโมง พักเที่ยง... ซึ่งช่วงนี้เขาอาจจะหลบไปหลับกลางวันกันเล็กน้อย...บ่ายสองโมงเริ่มอีกครั้ง...สองครึ่ง ปิดสำนักงาน และบอกว่า “บุกเราะฮ” หมายถึง พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่)
และนั่น ถือว่าเป็นบทเรียนและฮิกมะฮ์ในชีวิตที่นี้ โดยเฉพาะผู้ศรัทธาต้องยอมรับและมอบหมายงานต่ออัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ซูดานจึงทำให้เราได้หวนคิดถึงข้อแก้ตัว หรือเหตุผลว่ามีปัจจัยบางอย่าง (ซุรูฟ) ว่าย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังที่ตรัสไว้ว่า
{ وَلَا تَقُولَنَّ لِشَيْءٍ إِنِّي فَاعِلٌ ذَلِكَ غَدًا . إِلَّا أَن يَشَاء اللَّهُ وَاذْكُر رَّبَّكَ إِذَا نَسِيتَ وَقُلْ عَسَى أَن يَهْدِيَنِ رَبِّي لِأَقْرَبَ مِنْ هَذَا رَشَدًا } ( الكهف23-24 : )
ความว่า “และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่า “แท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้ [1] เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม และจงกล่าวว่า “บางทีผู้ทรงอภิบางของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ฉัน [2] ”
พอเข้าใจคำๆแรกแล้ว เรามาดูคำที่สองกันครับ นั่นคือ คำว่า “อัล มุญามะละฮฺ” หมายถึง การยอมความกัน (ไม่ถือโกรธ) หรือทำให้สิ่งหนึ่งดูดีหรือสวยขึ้น คำที่สองนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีเหตุการณ์ผิดใจกัน หรือบางครั้งจะใช้ในโอกาสชมเชย (พบโดยส่วนใหญ่ กับเพื่อนซูดานโดยมีลักษณะชมเกินจริง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการให้กำลังใจกันอย่างเต็มพลัง กะเอาให้เรายิ้มไม่หุบไปเลย)
คำว่า “มุญามะละฮฺ” ที่เกิดจากการทะเลาะกัน จึงเป็นทางออกเสมอของคนซูดาน ตัวอย่าง เช่น ในความหมายประนีประนอมกัน ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างคู่สนทนาที่คิดต่างกัน หรือคู่กรณี เช่น ขับรถเชี่ยวกัน หรือถึงขั้นชนกันยุบไปเลย ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการยกเสียงดังข่มกันและโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมรับว่าผิด และดูเหมือนว่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น
แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะเรื่องนองเลือดกันในซูดาน ถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม กฎหมายที่นี้ตามกฎชะรีอะฮฺอิสลาม ถือว่า หะรอม และสิ่งใด ที่หะรอม โทษจะหนักครับ เราจึงเห็นการถกเถียงกันเสียงดังๆ หน้าแดง หรืออารมณ์ชุนเฉียวอย่างแรงใส่กันสักพัก (เดี๋ยวถ้ามีใครมาห้ามก็เลิกครับ ไม่เก็บแค้นต่อ) และจบลงด้วยกับ คำว่า “มุญามะละฮฺ ” อภัยกันไป (ไม่เหมือนคนไทยเราครับ เงียบก่อน เก็บแค้นเอาไว้ วันหลังชำระแค้น หรือไม่ ถ้าเจอคนใกล้ตัวเขาก็ตีฝากไปด้วย ขยายวงให้ใหญ่โต ถึงขั้นสถาบันไปเลย จากเรื่องของคนสองคน)
แต่เด็กไทยบางคนที่นี้ก็เก่งครับ บางคนเป็นภาษาถิ่น ขึ้นเถียงจนชนะก็มี (ไม่รู้จะชมดีไหม แต่ก็จบลงด้วยการให้อภัย ณ ที่นั้น เวลานั้นครับ)
จากการที่ผู้เขียนได้สัมผัสชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนซูดานหลายคน ข้อสังเกตและการค้นพบล่าสุด คือ อารมณ์ ความตึงเครียด มีต้นเหตุมาจากสภาพแวดล้อมหรือรากฐานของแต่ละคน (โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับพนักงานในหน่วยงาน แต่...ไม่ใช่ทุกคนครับ...อัลหัมดุลลิล่าฮฺ)
เนื่องจากอากาศร้อนและแห้ง เป็นตัวผลักดันภายในให้ร้อนตาม ที่สำคัญ...อาหารหลักที่ส่วนใหญ่เป็นประเภทแป้ง (คาร์โบไฮเดรต)ได้แก่ ขนมปัง ถั่ว น้ำมัน น้ำตาลทราย ล้วนแล้วแต่มีผลต่อด้านอารมณ์ โดยเฉพาะ “ขนมปัง” คือ อาหารหลักที่กินทุกมื้อ ทุกวัน และมีราคาถูกกว่า “ข้าวสาร” และให้พลังงานสูงมากกว่าข้าว จึงเหมาะต่อสภาพอากาศแบบนี้มากครับ
ขณะที่การกินขนมปังจำนวนมากกลับเป็นปัญหาส่งผลข้างเคียงที่บางคนไม่ต้องการ เช่น อ้วนขึ้น (เมื่อรู้ตัวก็เกือบสายไปกับความอร่อยและความหอม นุ่ม ของมัน) และผลต่ออารมณ์ที่จะหงุดหงิด รวมถึงประสาทการรับรู้รสชาติบางอย่างลดลงครับ (และอีกหลายอย่างลองหาเพิ่มเติมครับ)
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงกลับมาคิดถึงฮิกมะฮฺของคำว่า “มุญามะละฮฺ” การอภัยให้กัน ของประเทศมุสลิมประเทศนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ (ที่บางคนถึงกลับพูดว่า “พวกเขาใจดี ถ้าโกรธ จะหายเร็ว”) โดยเฉพาะ คือ เรื่องที่อัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) สั่งใช้ ดังที่ตรัสว่า
{ إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ إِخْوَةٌ فَأَصْلِحُوا بَيْنَ أَخَوَيْكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ } (الحجرات : 10)
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน [3]ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า [4] และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”
จากคำสองคำที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกันได้ “คนหนึ่งขออภัย คนหนึ่งให้อภัย” จึงเป็นบทเรียนสอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ทุกคนก็ไม่ละ...ที่จะอยากทำ...ในสิ่งที่ดีงาม”
และนี้คือส่วนหนึ่งจากความประทับใจ
อินชาอัลลอฮฺ... ตราบใดที่อัลลอฮฺ ทรงประทานสุขภาพดี เวลา และโอกาส เราคงได้มีโอกาสนำเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟังต่อไป
9 โมงเช้าวันอังคารที่ 27 มีนาคม 2555
(เขียนที่หอพักดารุสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามแอฟริกานานาชาติ)
[1] อิบนุกะษีรกล่าวว่า สาเหตุของการประทานอายะฮ์นี้คือ เมื่อท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องของชาวถ้ำ ท่านได้กล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะตอบพวกท่าน” ดังนั้นอัลวะฮ์จึงได้ล่าช้าออกไปจากท่านเป็นเวลาถึง15 วัน
[2] คือหวังว่าอัลลอฮ์จะทรงประทานความสำเร็จให้แก่ฉัน และทรงชี้แนะแก่ฉันในสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่ง ในเรื่องของศาสนาของฉันและดุนยาของฉัน
[3] ความเป็นพี่น้องกันในหมู่มุสลิมมุอฺมินนั้น ผลที่จะติดตามมาก็คือ ความรักใคร่ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การให้ความช่วยเหลือ และความร่วมมือกัน นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของมุอฺมินผู้ศรัทธา ในอายะฮฺเป็นการบ่งชี้ว่าการเป็นพี่น้องกันในอิสลามนั้นเข้มข้นกว่าการเป็นพี่น้องทางสายเลือดหรือวงศ์ตระกูล
[4] คืออย่าให้การแตกแยกเข้ามามีบทบาท และอย่าให้การเกลียดชังระหว่างกันเข้ามาสิงสู่อยู่ในหมู่คณะ