السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
قيل : " وراء الصعوبة الحكمة "
มีคนกล่าวว่า “เบื้องหลังความยากลำบาก คือ ฮิกมะฮฺ (วิทยปัญญา, ปัญญาที่ซ้อนเร้น, ประโยชน์ที่แอบแฝง)”
อัลฮัมดุลิลล่าฮฺ ขอชุโกรต่ออัลลอฮฺ ที่ทรงโปรดประทานทางนำ (อัลฮุดา) และความผาสุกในดุนยา (ริสกี) ให้เราได้นำเป็นเสบียงเดินทางต่อไปสู่โลกอันจีรัง (อาคิเราะฮฺ)
ขอสดุดี (เศาะละวาต) แด่ท่านเราะสูล (ศ็อลฯ) ผู้ซึ่งฝ่าฟันอุปสรรคนำพาแสงสว่างแห่งสัจธรรม ให้เราได้ยึดมั่นด้วยหัวใจ (อะกีดะฮฺ) ไตร่ตรองด้วยปัญญา (อัลนัซรฺ) กับความยิ่งใหญ่ของผู้ทรงสร้าง และการจัดการสรรพสิ่งทั้งมวลอย่างเป็นระบบของพระองค์ ทั่วทั้งผืนน้ำและแผ่นดิน
ซูดาน ประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศที่ร้อนและลำบากมากที่สุดจากบรรดาประเทศที่นักศึกษาศาสนาของไทยเราจะเลือกเดินทาง และมุ่งหวังความรู้กลับไป บางคนกล่าวว่า “คือตัวเลือกสุดท้าย” เนื่องจากมีสภาพอากาศร้อนจัด หนาวจัด ฝนบวกฝุ่น และก็พายุฝุ่น (โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่าง “อัลคุรฎูม” ซึ่งจัดเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย และมีอากาศที่แปรปรวนมากที่สุด )
ครับ...มาถึงตอนนี้ ผมต้องขอชื่นชมนักศึกษาไทยที่นี้ (ปัจจุบันประมาณ 250 คน) ด้วยความจริงใจ ว่า “แววตาที่มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ความหวังและหัวใจของพวกเขาแกร่งจริงๆ” ทำให้เขาสามารถอยู่ที่นี้ได้นานคนละหลายปี
ตอนนี้ ลมหนาวแบบทะเลทรายผ่านไปแล้วครับ เราได้สัมผัสความหนาวแบบว่าเปิดแอร์ประมาณ 10 องค์ศาฯ กันทั่วประเทศ ไปประมาณเกือบ 4 เดือน ชนิดที่ว่า ถ้าไม่ทาครีมกันหรือลิสรีนแล้ว “แตกเลือด” เลือดไหลจริง เจ็บจริง (นักศึกษาไทยที่นี้ทราบกันดีครับ) เพราะอากาสแห้งมาก กลางคืนสามารถเห็นประกายไฟจากการเสียดสีของผ้าได้เลย
ถึงเวลาที่ท้องฟ้าและฝุ่นเริ่มเข้ามาตั้งหมอกอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนฤดูกาลครับ อีกไม่กี่สัปดาห์ อินชาอัลลอฮฺ เราจะเข้าสู่ช่วงเวลาเด็ดๆของที่นี้อีกครั้ง แบบว่าตากผ้ากันไม่เกินครึ่งชั่วโมง (ไม่ได้โม้) เพราะมันคือหน้าร้อน ซึ่งความร้อนแบบลมแห้งของที่กึ่งทะเลทรายแห่งนี้ช่วยให้ผ้าคุณแห้งได้ แบบไม่ต้องรอนาน (อย่างกับร้านสะดวกซื้อไปเลย) นี้ ยังไม่รวมกับผงซักฟอกซูดานด้วยครับ แรงกันถึงใจ กัดกันจนผ้าสีหน้าซึมไปเลย (หายสดใสครับ) ขอแนะว่า “ได้โปรดอย่านำผ้าของคุณแช่ผงซักฟอกนานนะครับ สงสารมัน ถ้าคุณยังต้องการสีสดใสอยู่” (ไม่ได้บ่นนะครับ แค่อยากให้เห็นภาพจริงๆ)
ต่อกันเรื่องของฝุ่น (จุดเด่นของตอนที่ 3 ครับ[1]) จากการสอบถามทำให้ผมทราบว่า หากมีฝุ่น (เรียกภาษาอาหรับว่า “งุบารฺ”) ตั้งเค้ามาพัดกันแบบชนิดเหมือนฝนเมื่อไหร่ นั่นคือ...สัญญาณของการเปลี่ยนฤดูกาล เพื่อเริ่มต้นและเตือนให้เตรียมร่างกายของเราพร้อมรับฤดูกาลใหม่ (เพื่อนซูดานเล่าให้ฟังว่า “ที่มีฝุ่นเยอะสุดก็ที่ในเมืองคุรฏูม” บางคนบอกว่า “ไม่เคยเห็นแบบที่นี้มาก่อน” และบางคนก็สรุปให้ฟังเลยว่า “พื้นที่ของคุรฎูม เป็นแบบอากาศกึ่งทะเลทราย จึงมีฝุ่นและพายุฝุ่นเกิดขึ้นง่ายมาก”)
แล้วทำไมต้องสนใจเรื่องฝุ่น ??? อะไรคือ ฮิกมะฮฺ จากฝุ่น ??? (สำคัญมากด้วย ต้องอ่านต่อนะครับไม่งั้นไม่รู้...)
สอบถามได้ข้อมูลมาว่าฝุ่นจะมาอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่อินทผลัมออกดอกและออกผล )สุบหานั้ลลอฮฺ..! ( เพราะว่าฝุ่นทำให้อินทผลัมสุขและหวาน ตามกระบวนการธรรมชาติซึ่งอัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ทรงสร้างขึ้น เนื่องจาก...
อินทผลัม เป็นผลไม้ทะเลทราย[2]จะออกลูกได้ในรอบปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะจะอยู่ช่วงก่อนเดือนรอมฎอน (ซึ่งหลังจากนี้เหลืออีกประมาณไม่ถึง4 เดือน แล้วครับ) และจะออกมากเรื่อยๆ จนพ้นเดือนรอมฎอน ประมาณเดือนหนึ่ง ก็หยุดให้ผล ที่สำคัญอากาศในช่วงนั้นจะร้อนมาก กลางวันจะมากกว่ากลางคืน (เข้าเวลาละหมาดสุบหฺ ประมาณ 05.00 น. และมักริบ เวลา 19.30 น.) โดยเฉพาะช่วงบ่ายไป จะร้อนแบบแห้งๆ
และเนื่องจากความเป็นทะเลทรายนี่เองครับ จึงทำให้เกิดกระบวนการอบและสกัดความหวานในตัวเนื้ออินทผลัมซึ่งดูภายนอกเป็นเปลือกแข็ง (ไม่มีกลิ่นบ่งชี้เลยว่าเนื้อจะหวานชุ่มช่ำ) นั่นหมายถึง ...ในขณะที่มีฝุ่นหมอกและพายุพัดมาปกปิดผิวเปลือกของอินทผลัมจากนกเล็กและนกใหญ่ ไม่ให้จิกกิน ฝุ่นทำหน้าที่เป็นเกาะเคลือบความร้อนจาก อากาศภายนอกสู่เนื้อภายใน (เหมือนเตาอบ) ถึงตอนนี้ต้องนึกภาพตามนะครับ ภาพอินทผลัมบนต้นและมีฝุ่นติดเต็มลูกของมัน หรือใครที่ยังนึกไม่ออก ก็นึกถึงเวลาเราจะเผาไข่ให้สุก เขาต้องเอาดินพอกนะครับ เพราะไข่ไม่สุข แถมแตกหมดแน่เลย
สุบหานั้ลลอฮฺ...! นั่นแหละครับ กระบวนการทำให้อินทผลัมสุก ด้วยกับการอบแบบไมโครเวปที่เกิดจากความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) สุดท้ายเราก็จะได้ทานอินทผลัม ที่มีรสชาติหวานช่ำ โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลเลย
อินชาอัลลอฮฺ เรื่องราวดีๆจะมีต่อไป ตราบเท่าที่อัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ทรงไว้ลมหายใจและให้โอกาสเราได้เรียนรู้และไตร่ตรองร่วมกัน
ขอดุอาจากอัลลอฮฺ (สุบหฺฯ) ให้ปีนี้และอีกหลายๆปีของเราทุกคน ได้มีชีวิตอยู่ถึงรอมฎอน เพื่อจะได้ทำอิบาดัต และขวนขวายความดีงามกัน รวมทั้งขอให้เราได้ละศิลอดด้วยผลไม้มหัศจรรย์นี้ ซึ่งบรรดาอุละมาอ์อิสลามมีทัศนะว่า “วิทยปัญญาในการส่งเสริมให้มีการละศีลอดด้วยผลอินทผลัมนั้น เนื่องจากความหวานของมันสามารถทำให้เกิดพละกำลัง และสอดคล้องกับความศรัทธา สามารถทำให้หัวใจมีความอ่อนโยน”
สุดท้ายนี้ขอฝากหะดีษจากท่านซัลมาน บิน อามิร อัฎเฎาะบีย์ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮู) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ท่านเราะสูล (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า
(( إِذَا أَفْطَرَ أَحَدَكُمْ فَلْيُفْطِرْ عَلَى تَمْرٍ ، فَإِنْ لَمْ يَجِدْ فَلْيُفْطِرْ عَلَى مَاءٍ فَإِنَّهُ طَهُوْرٌ وَفِي لَفْظٍ : فَإِنَّهُ لَهُ طَهُوْرٌ . وَفِي لَفْظٍ آخَرٍ : فَإِنَّ المَاءَ طَهُوْرٌ ))
ความว่า “เมื่อผู้ใดจากพวกท่านจะละศีลอด ก็จงละศีลอดด้วยผลอินทผลัม หากไม่มีอินทผลัม ก็จงละศีลอดด้วยน้ำ แท้จริงน้ำนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์” (บันทึกโดยอะห์มัด 4/17–18 อบู ดาวูด 2355 อิบนุ มาญะห์ 1699 และอัตติรมีซีย์ 694 กล่าวว่า: เป็นหะดีษเศาะฮี๊ห์)
وصلى الله على سيدنا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين
والحمد لله رب العالمين
masha allah ขอบคุณสำหรับข้อความดีดี ^-^
ตอบลบ